ฉีดวิตามินผิว
สำหรับใครที่กินอาหารเสริม หรือทาครีมบำรุงผิวมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ขอแนะนำให้รู้จักกับการฉีดวิตามินผิวค่ะ ซึ่งเป็นวิธีฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน และยังช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย เรียกได้ว่า ทำเพียงอย่างเดียว แต่ผลลัพธ์ได้สองต่อเลย
บทความนี้ Thaibestbeauty จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับวิตามินผิวให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฉีดวิตามินผิว คืออะไร ? มีกี่แบบ ? มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ? อันตรายไหม ? มีประโยชน์อย่างไร ? และเหมาะกับใครบ้าง ? พร้อมเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ของการรับวิตามินบำรุงผิววิธีต่าง ๆ ทั้งการกิน การทา หรือการฉีด
ฉีดวิตามินผิว คืออะไร ? มีกี่แบบ ?
การฉีดวิตามินผิว คือ การนำวิตามินและตัวยาที่มาในรูปแบบของเหลวเข้าสู่ร่างกาย ผ่านทางหลอดเลือดดำบริเวณข้อมือหรือข้อพับแขนค่ะ โดยทั่วไปตัวยาจะประกอบไปด้วยสารอาหารและวิตามิน ที่จำเป็นต่อสุขภาพผิวและร่างกาย เช่น วิตามินซี กรดอะมิโน หรือวิตามินบีรวม
ซึ่งวิธีฉีดวิตามินที่ได้รับความนิยมจะมี 2 แบบ ดังนี้
- ฉีดวิตามินผิวแบบ IV Drip หรือ IV Infusion คือ การนำตัวยาและวิตามินไปผสมกับน้ำเกลือ ก่อนนำเข้าสู่ร่างกายของผู้รับบริการผ่านทางสายน้ำเกลือค่ะ เป็นการฉีดวิตามินผิวที่ตัวยาจะมีอัตราเข้าสู่ร่างกาย และมีความเข้มข้นเท่า ๆ กันตลอดกระบวนการทำหัตถการ ซึ่งจะใช้เวลาในการทำประมาณ 45-60 นาที
- ฉีดวิตามินผิวแบบ IV Bolus หรือ IV Push การนำตัวยาและวิตามินที่ไม่ได้ผสมน้ำเกลือ มาฉีดเข้าสู่หลอดเลือดดำโดยตรงค่ะ มีจุดเด่นคือช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินผิวได้ไว และออกฤทธิ์เร็ว ใช้เวลาในการทำไม่เกิน 30 นาที ในคนที่เส้นเลือดมีขนาดเล็ก อาจมีอาการบวมช้ำ หรือรู้สึกแสบได้ค่ะ แต่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย
การฉีดวิตามินผิวทั้ง 2 แบบจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกัน โดยวิธีการที่ใช้จะขึ้นอยู่กับคลินิกความงามที่แต่ละคนเลือกรับบริการค่ะ
วิตามินผิว มีประโยชน์อย่างไร ?
ด้านสุขภาพ
- ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ และลดอาการอ่อนเพลีย เหมาะสำหรับผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนน้อย
- ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ
ด้านความงาม
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับโครงสร้างผิว ทำให้ผิวหนังมีความกระชับ และเต่งตึงมากขึ้น
- ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิว ลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน และเพิ่มความกระจ่างใส
- ช่วยเสริมเกราะให้ผิวแข็งแรง และปกป้องผิวจากการทำลายของมลภาวะต่าง ๆ เช่น แสงแดด หรือฝุ่น
รับวิตามินบำรุงผิวแบบไหนดี ? กิน vs ทา vs ฉีด
วิตามินเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย และสุขภาพผิวของเราค่ะ แต่ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตได้เอง จึงจำเป็นต้องรับจากภายนอกทั้งหมด โดยวิธีรับวิตามินบำรุงผิวแต่ละวิธีจะมีข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
กินอาหารที่มีวิตามินบำรุงผิว
การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรืออาหารเสริม เช่น วิตามินซี คอลลาเจน และวิตามินบีรวม เป็นวิธีที่หลาย ๆ คนได้รับวิตามินบำรุงผิวค่ะ
- ข้อดี สามารถทำได้ง่ายที่สุด และอยู่ในกิจวัตรประจำวันของทุกคนอยู่แล้ว รวมถึงยังเป็นวิธีที่มีประโยชน์ทั้งในด้านสุขภาพ และความงาม
- ข้อเสีย ร่างกายสามารถได้รับวิตามินผิวเพียง 20-50% ของปริมาณทั้งหมดที่บริโภคเข้าไปค่ะ เพราะจำเป็นต้องผ่านการย่อยของลำไส้ และการดูดซึมผ่านตับก่อน รวมถึงยังใช้เวลาในการดูดซึมค่อนข้างนาน
ในกรณีของอาหารเสริม หากต้องการวิตามินผิวหลากหลายชนิด จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนเม็ดยาที่กิน และศึกษาการกินที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้รับประโยชน์มากที่สุดค่ะ
ทาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินผิว
สกินแคร์สำหรับบำรุงผิว มักจะมีส่วนประกอบของวิตามินซีค่ะ เพราะมีคุณสมบัติเด่นในการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ช่วยปรับให้ผิวดูกระจ่างใส และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยวิตามินผิวสำหรับทาจะมาในรูปแบบของเซรัมหรือเอสเซนส์เนื้อบางเบา เพื่อให้สามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ง่าย
- ข้อดี ใช้งานได้ง่าย สามารถทาได้ทุกวัน และมีให้เลือกหลายยี่ห้อค่ะ รวมถึงช่วยลดโอกาสเกิดอาการแพ้จากวิตามินที่เข้มข้นเกินไป
- ข้อเสีย วิตามินผิวสำหรับทาจะเน้นไปที่ประโยชน์ในด้านความงามเพียงอย่างเดียวค่ะ และหากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน จำเป็นต้องใช้งานอย่างต่อเนื่อง จึงไม่เหมาะกับคนใจร้อน
นอกจากนี้สกินแคร์เหล่านี้จำเป็นต้องเก็บรักษาให้เหมาะสม เพื่อป้องกันผลิตภัณฑ์เสื่อมสภาพ เช่น เซรัมที่มีส่วนผสมวิตามินซี จะต้องหลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดด
การฉีดวิตามินผิว อัพผิวสวย
การฉีดวิตามินผิว คือ การนำวิตามินหรือสารอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพผิว และฟื้นฟูสุขภาพ เข้าสู่ร่างกายผ่านทางหลอดเลือดดำโดยตรง
- ข้อดี ร่างกายจะได้รับวิตามินผิวแบบเต็มโดส 100% โดยไม่ต้องรอการดูดซึม จึงสามารถใช้ฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ได้ทันที และเห็นผลลัพธ์เร็ว เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ รวมถึงยังมีประโยชน์ทั้งในด้านความงาม และสุขภาพอีกด้วย
- ข้อเสีย หลังทำหัตถการจะมีรอยเข็ม แต่สามารถหายได้เองใน 1-3 วันค่ะ
หลาย ๆ คนจะเห็นว่า การฉีดวิตามินผิว เป็นวิธีที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกายและผิวอย่างเต็มที่ รวมถึงยังเห็นผลเร็วกว่าวิธีอื่น ๆ จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการรอนาน ๆ หรืออยากฟื้นฟูทั้งร่างกายและผิวพรรณอย่างเร่งด่วน
การฉีดวิตามินผิว อันตรายไหม ?
ฉีดวิตามินผิวมีความปลอดภัยค่ะ ถ้าทำหัตถการโดยคุณหมอที่มากประสบการณ์ ใช้สูตรยาที่ได้มาตรฐาน และในตัวยาไม่มีส่วนผสมที่เป็นอันตราย
สำหรับใครที่กังวลใจ เพราะเคยเห็นข่าวหรือรีวิวผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์หลังฉีดวิตามินผิว เช่น มีอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ช็อก หมดสติ หรือบางรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายเกิดจากปัจจัยเหล่านี้ค่ะ
- อันตรายจากผู้ทำหัตถการ การฉีดวิตามินผิวกับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์มีความอันตรายมากค่ะ เพราะขาดความเข้าใจกายวิภาค จึงไม่รู้ตำแหน่งของเส้นเลือด รวมถึงอาจดันยาในอัตราที่เร็วเกินไป หรือใช้ปริมาณยาไม่เหมาะสม จน Overdose ได้ค่ะ
- อันตรายจากส่วนผสมของวิตามินผิว ตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน มักมีส่วนผสมที่อย. ยังไม่รับรองความปลอดภัย และไม่อนุญาตให้ฉีดสารเหล่านี้เข้าสู่ผิว เช่น การผสมกลูตาไธโอน (Glutathione) เพื่อเร่งให้ผิวขาวขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
วิตามินผิว มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ?
วิตามินผิว จะมีส่วนผสมที่แตกต่างกันออกไปตามวัตถุประสงค์ และสูตรเฉพาะของแต่ละคลินิกความงาม แต่โดยทั่วไปจะมีส่วนประกอบหลักเป็นวิตามินซี (Vitamin C) หรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ค่ะ เพราะเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีส่วนสำคัญในการสร้างหลอดเลือด กล้ามเนื้อ และคอลลาเจนในกระดูก แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตได้เอง
ตัวอย่างส่วนประกอบของวิตามินผิว มีดังนี้
- วิตามินซี ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย และต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) รวมถึงช่วยลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน จึงช่วยปรับให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น และแก้ปัญหาจุดด่างดำ
- วิตามินบี หรือวิตามินบี 6 ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง และป้องกันเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ รวมถึงช่วยลดการอักเสบและผื่นผิวหนัง
- NAC (N-Acetyl Cysteine) ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ และสารพิษตกค้างในร่างกาย รวมถึงช่วยปรับให้ผิวกระจ่างใส เพราะสามารถช่วยลดเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ และช่วยเสริมประสิทธิภาพกลูตาไธโอนที่ผลิตตามธรรมชาติ
- กลูตามีน ช่วยแก้อาการอ่อนล้าและอ่อนเพลีย รวมถึงเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ส่วนประกอบของวิตามินผิวที่ฉีด จะต้องไม่มีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อร่างกายค่ะ รวมถึงควรสอบถามส่วนประกอบกับทางคลินิกความงามที่รับบริการอีกด้วย
ฉีดวิตามินผิว เหมาะกับใครบ้าง ? ฉีดได้ทุกคนไหม ?
ฉีดวิตามินผิว เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและผิวแบบเร่งด่วน การฉีดวิตามินผิวจะเห็นผลลัพธ์ใน 4 สัปดาห์ค่ะ ขึ้นอยู่กับสุขภาพผิวเดิม และความถี่ในการทำหัตถการร่วมด้วย
- ผู้ที่มีปัญหาผิว เช่น ผิวคล้ำเสีย ผิวแห้งกร้าน ผิวแพ้ง่าย หรือผิวขาดการบำรุง สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ร่างกายได้รับวิตามิน และแร่ธาตุไม่เพียงพอค่ะ
- ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง เช่น ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือมีอาการอ่อนเพลีย
- ผู้ที่ระบบภูมิต้านทานไม่แข็งแรง มีปัญหาเป็นหวัดบ่อย ป่วยง่าย หรือมีโรคภูมิแพ้
- ผู้ที่ไม่อยากทาครีมบำรุง สำหรับใครที่มักจะลืมทาครีมบ่อย ๆ หรือไม่ชอบความเหนอะหนะระหว่างรอให้ครีมซึมเข้าสู่ผิว การฉีดวิตามินถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะมากค่ะ และยังให้ผลลัพธ์เร็วกว่าการทาครีมอีกด้วย
ฉีดวิตามินผิว ไม่เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรรอให้คลอด และหยุดให้นมบุตรก่อน
- มีประวัติการแพ้ตัวยาหรือวิตามินในรูปแบบฉีด
- มีโรคประจำตัว เช่น ภาวะพร่องเอนไซม์ (G6PD Deficiency) โรคตับ โรคไต ความดันโลหิตต่ำ โรคหัวใจที่ต้องรักษาด้วยตัวยาหลายชนิด ภาวะเหล็กเกิน ประวัติโรคเลือดผิดปกติ และโรคมะเร็ง รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
แม้จะไม่ได้เป็นข้อห้ามชัดเจนในการฉีดวิตามินผิว แต่แนะนำให้ปรึกษากับคุณหมอก่อนค่ะ เพื่อให้ประเมินเงื่อนไขสุขภาพ ว่าสามารถทำได้หรือไม่ ?
สรุปเรื่องการฉีดวิตามินผิว
หลาย ๆ คนจะเห็นว่า การฉีดวิตามินผิว ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง แต่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพผิวและร่างกายแบบเร่งด่วน รวมถึงยังช่วยเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย
สำหรับใครที่ต้องการฉีดวิตามินผิว ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และตัวยาไม่มีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แนะนำให้เลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ และทำหัตถการกับแพทย์ทุกครั้งค่ะ