สาว ๆ คนไหนที่มีปัญหาผิวโทรม แต่ทาครีมแล้วยังไม่เห็นผล ขอแนะนำให้รู้จักกับ “เมโสหน้าใส” ค่ะ
เมโสหน้าใส เป็นหนึ่งในทางลัดฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูกระจ่างใส ลดผดผื่น และรอยฝ้ากระ ได้อย่างเห็นผล ใครที่กำลังมองหาวิธีกู้ผิว เรามีข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดเมโสหน้าใสมาแนะนำ เช่น เมโสหน้าใสคืออะไร ? มีส่วนผสมอะไรบ้าง ? เหมาะกับใคร ? แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ? และควรเลือกยี่ห้อไหนดี ? เพื่อให้เหมาะกับปัญหาของตัวเอง
ทำความรู้จัก! เมโสหน้าใส (Mesotherapy) คืออะไร ?
เมโสหน้าใส (Mesotherapy) คือ ทรีตเมนต์บำรุงผิวหน้าแบบเร่งด่วน ด้วยการฉีดวิตามินหรือสารอาหารเข้าสู่ชั้นผิวหน้าโดยตรง เพื่อขับสารพิษ ฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพ และปรับให้ผิวมีความแข็งแรง ดูกระจ่างใส สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 1 สัปดาห์
ทำไมเรียก “เมโส” ชื่อนี้ มีที่มาอย่างไร ?
คำว่า เมโส (Meso) เป็นรากศัพท์ที่แปลว่า ตรงกลาง (Middle) ค่ะ ดังนั้นการฉีดเมโสหน้าใสในทางการแพทย์ จึงหมายถึงการฉีดตัวยาลงในผิวชั้นกลางนั่นเอง
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นผิวชั้นนี้ ? นั่นเพราะผิวชั้นกลาง (Dermis) หรือผิวชั้นหนังแท้ เป็นโครงสร้างผิวที่ทำให้ใบหน้าของเราดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง และยืดหยุ่น ประกอบไปด้วยคอลลาเจน อีลาสติน ไฮยาลูรอน แต่เมื่อเราอายุเพิ่มมากขึ้น หรือพบเจอมลภาวะบ่อย ๆ โครงสร้างส่วนนี้จะเสื่อมสภาพลงค่ะ
การฉีดเมโสหน้าใสจึงช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวในชั้นนี้ได้ดี เห็นผลเร็ว ช่วยคืนความแข็งแรง และยืดหยุ่นให้กับผิวได้ค่ะ
ตัวยาเมโสหน้าใส มีส่วนผสมอะไรบ้าง ?
ส่วนผสมของตัวยาเมโสหน้าใสเป็นวิตามินและอาหารผิว เช่นเดียวกับครีมทาผิวของเราค่ะ โดยเฉพาะสารที่ดูดซึมผ่านชั้นผิวได้ยาก เมื่อนำมาฉีดเข้าสู่ผิวโดยตรงจึงออกฤทธิ์ไวขึ้น เห็นผลได้เร็วกว่าการทาครีมทั่วไป โดยส่วนผสมของยาจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละยี่ห้อ
หากจัดกลุ่มตัวยาเมโสหน้าใสแบบง่าย ๆ จะแบ่งได้เป็น 3 สูตร ดังนี้
- เน้นผิวขาว : ตัวยามีส่วนผสมที่ปรับให้ผิวกระจ่างใส เช่น Vitamin ABCE, Transamin, Glutathione
- เน้นหน้าใส : ตัวยามีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปรับให้ผิวอิ่มฟู และกระชับรูขุมขน เช่น คอลลาเจน และ โคเอนไซม์
- เน้นลดสิว-แก้ผื่น : ตัวยามีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ ขับสารพิษ หรือลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยลดโอกาสเกิดสิว เช่น คอลลาเจน
เมโสหน้าใส อันตรายไหม ?
เมโสหน้าใส ไม่อันตรายค่ะ เพราะตัวยาเป็นสารที่สกัดมาจากธรรมชาติ หลังฉีดไม่ได้ส่งผลให้ผิวบาง หรือไวต่อแสง แต่จะช่วยฟื้นฟูผิว และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น หากฉีดเมโสหน้าใสในคลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน และทำหัตถการกับคุณหมอมากประสบการณ์ ยิ่งไม่ต้องกังวลค่ะ
อันตรายจากการฉีดเมโสหน้าใส ที่หลายคนเคยเห็นในข่าว เกิดจากการฉีดตัวยาของปลอม หรือตัวยาที่หาซื้อได้ง่ายตามอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หรือฮอร์โมน เพื่อทำให้เห็นผลไว เร่งให้ผิวขาว และผิวนุ่ม แต่หากฉีดไปนาน ๆ จะเกิดผลข้างเคียงอันตรายตามมาได้
เมโสหน้าใส มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ?
หลังฉีดเมโสหน้าใสจะมีเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ หรือใครที่ผิวบอบบางอาจมีรอยช้ำจากเข็มเล็กน้อย สามารถหายได้เองใน 1-2 วัน เป็นผลข้างเคียงที่ไม่เป็นอันตรายค่ะ
หากหลังฉีดแล้ว มีผื่นขึ้นเยอะ บวมแดง ผิวไวต่อแสง และรู้สึกเจ็บที่บริเวณรอยเข็ม อาการเหล่านี้มักเกิดจากการฉีดยาเมโสของปลอม แนะนำให้รีบเข้าพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและรักษาได้อย่างตรงจุด
เมโสหน้าใส เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่อยากบูสผิวแบบเร่งด่วน เสริมความแข็งแรงให้ผิว
- ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง นอนไม่พอ ขี้เกียจทำ Skincare Routine แบบจัดเต็ม
- ผู้ที่ผิวไม่แข็งแรง ผิวแพ้ง่าย ผิวอักเสบ หรือมีสิวผดผื่น
- ผู้ที่ผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวแห้งกร้าน มีรูขุมขนกว้าง
- ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยสิว
เมโสหน้าใสแต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ? เลือกฉีดยี่ห้อไหนดี ?
ในปัจจุบันมีตัวยาเมโสหน้าใสให้เลือกหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยม ซึ่งแต่ละตัวจะช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าที่แตกต่างกันค่ะ มาดูกัน ว่าเมโสหน้าใสยอดนิยมแต่ละตัว มีจุดเด่นอย่างไร ?
- Made Collagen ช่วยขับสารพิษตกค้างในผิว ฟื้นฟูเซลล์ผิว และชะลอการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนในโครงสร้างผิว นิยมใช้แก้ปัญหาผิวอักเสบ ผดผื่น หรือลดสิว เหมาะกับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย ต้องการเสริมเกราะผิวให้แข็งแรง
- Filorga / Revs ช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใส ลดฝ้า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มน้ำ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน และขาดการบำรุง
- Tensonez / Depigment / Neo-Glutanex Glow ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ปรับผิวให้ดูกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ ดูเรียบเนียน ลดริ้วรอย แก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน เหมาะกับผู้ที่ผิวแห้งเสีย หรือหมองคล้ำจากแสงแดด
- Alpha Arbutin เน้นเรื่องปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส ลดฝ้า จุดด่างดำ และรอยสิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดฝ้าโดยตรง
ก่อนการฉีดเมโสหน้าใส แนะนำให้เพื่อน ๆ ประเมินสภาพผิว และปรึกษากับคุณหมอที่มากประสบการณ์ค่ะ เพื่อที่คุณหมอจะช่วยเลือกยี่ห้อ ที่ตอบโจทย์กับความต้องการ และงบประมาณของเราได้
หมอฉีดเมโสหน้าใสยังไง ? เทคนิคการฉีดแบบสะกิด vs แบบ 16 จุด
เมื่อพูดถึงการฉีด หลาย ๆ คนอาจกังวลว่า จะมีรอยเข็มเกิดตำแหน่งไหนบนใบหน้าบ้าง เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสจะมีด้วยกัน 2 เทคนิคค่ะ คือ
- เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด ในช่วงแรกการฉีดเมโสหน้าใส จะใช้เข็มฉีดตัวยาเป็นจุดเล็กในผิวชั้นตื้น กระจายทั่วใบหน้า ข้อดีคือช่วยกระตุ้นคอลลาเจนไปด้วยในตัว แต่ข้อเสียคืออาจเกิดรอยช้ำ รอยแดง และเสี่ยงติดเชื้อได้ถ้าไม่สะอาดเพียงพอ
- เทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด การฉีดเมโสหน้าใสตามทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลืองเพียง 16 จุดบนใบหน้า จึงมีแผลและรอยช้ำน้อยกว่า ตัวยาออกฤทธิ์ได้นานกว่าแบบสะกิด เพราะเทคนิคนี้จะคล้ายกับการนำตัวยาไปฝังไว้ที่ต้นน้ำแล้วปล่อยให้ยาค่อย ๆ กระจายออกมา
ในปัจจุบันเทคนิคการฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุดได้รับความนิยมมากกว่าแบบสะกิดค่ะ เพราะเจ็บตัวน้อยกว่า ปลอดภัย ตัวยาออกฤทธิ์ได้ดีและนานกว่า
ฉีดเมโสหน้าใส เจ็บไหม ?
ฉีดเมโสหน้าใสไม่เจ็บค่ะ เพราะเป็นการฉีดลงในชั้นผิวที่ไม่ลึก ปริมาณตัวยาไม่มาก และใช้เวลาไม่นาน สามารถประคบเย็นอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วค่ะ แต่สำหรับใครที่กลัวเจ็บมาก ๆ แค่เห็นเข็มก็จะเป็นลมแล้ว สามารถแจ้งให้คลินิกความงามแปะยาชาเพิ่มเติมให้ก่อนได้ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีค่ะ
ฉีดเมโสหน้าใส กี่วันเห็นผล ? ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?
หลังฉีดเมโสหน้าใส เริ่มเห็นผลใน 3 วัน และผลลัพธ์เต็มที่ใน 7-14 วันค่ะ ในช่วง 1 เดือนแรกแนะนำให้ฉีดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และหลังจากนั้นจะลดลงเหลือฉีดทุก ๆ 2 อาทิตย์ เพื่อคงผลลัพธ์ แต่ถ้าใครใจร้อน อยากได้ผลลัพธ์แบบเร่งด่วน สามารถฉีด 3 วัน/ครั้งได้ค่ะ เพราะตัวยาไม่ก่อให้เกิดอาการบวม ไม่เป็นอันตรายต่อผิว และสามารถสลายได้หมดโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
เมโสหน้าใสแบบทา ดีจริงไหม ?
เมโสหน้าใสแบบทาที่หลาย ๆ คนเห็นในคำโฆษณา ในความเป็นจริงแล้วก็คือครีมหรือเซรั่มสำหรับบำรุงผิวค่ะ ประสิทธิภาพจะแตกต่างจากเมโสหน้าใสแบบฉีด เพราะแบบทาจำเป็นต้องรอให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิว และใช้งานต่อเนื่องเป็นประจำ หากใครต้องการฟื้นฟูผิวหน้าแบบเร่งด่วน การฉีดเมโสหน้าใสจะตอบโจทย์กว่าค่ะ
สรุป
สำหรับใครที่อยากบูสผิวแบบเร่งด่วนด้วยการฉีดเมโสหน้าใส ควรเลือกคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ใช้ตัวยาที่ได้มาตรฐาน และประเมินใบหน้ากับคุณหมอที่มากประสบการณ์ก่อนฉีดทุกครั้ง เพียงเท่านี้ทุกคนก็จะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และบริการที่ปลอดภัยค่ะ